More Related Content
More from thanakit553 (20)
พลังงานความร้อนใต้พิภพ
- 1. พลังงานความร้อนใต้พิภพ
พลังงานความร้อนใต้พิภพ หมายถึง พลังงานความร้อนตามธรรมชาติที่ได้จากแหล่งความ
ร้อนที่ถูกกักเก็บอยู่ภายใต้ผิวโลก โดยปกติอุณหภูมิใต้ผิวโลกจะเพิ่มขึ้นตามความลึก และเมื่อยิ่งลึกลงไปถึง
ภายในใจกลางของโลก จะมีแหล่งพลังงานความร้อนมหาศาลอยู่ ความร้อนที่อยู่ใต้ผิวโลกนี้มีแรงดันสูงมาก จึง
พยายามที่จะดันตัวออกจากผิวโลกตามรอยแตกต่างๆ แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ มักพบในบริเวณที่
เรียกว่าจุดร้อน (hot spots) โดยบริเวณนั้นจะมีค่าการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิตามความลึก มีบริเวณที่มีการ
ไหล หรือแผ่กระจาย ของความร้อน จากภายใต้ผิวโลกขึ้นมาสู่ผิวดิน (geothermal gradient) มากกว่าปกติ
ประมาณ 1.5-5 เท่า เนื่องจากในบริเวณดังกล่าวเปลือกโลกมีการขยับตัวเคลื่อนที่ทาให้เกิดรอยแตกของชั้นหิน
สามารถแบ่งได้ดังนี้
ภาพชั้นต่างๆของโลก
ที่มา - http://www.solcomhouse.com/images/struct.jpg
ชั้นเปลือกโลก แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1. เปลือกโลกส่วนบน (upper crust) หรือเรียกว่า ชั้นไซอัล (sial)
2. เปลือกโลกส่วนล่าง (lower crust) หรือเรียกว่า ชั้นไซมา (sima)
ชั้นแมนเทิล สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1. ชั้นแมนเทิลส่วนบน (upper mantle)
2. ชั้นแมนเทิลส่วนล่าง (lower mantle)
แกนโลก สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ
1. แกนโลกชั้นนอก (outer core)
2. แกนโลกชั้นใน (inner core)
- 2. ลักษณะทั่วไปของแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ สามารถแบ่งเป็นลักษณะใหญ่ๆ ได้ 4 ลักษณะ
คือ
1. แหล่งที่เป็นไอน้า เป็นแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่อยู่ใกล้กับแหล่งหิน
หลอมเหลวในระดับตื้นๆ ทาให้น้าในบริเวณนั้นได้รับพลังงานความร้อนสูงจนกระทั่งเกิดการเดือดเป็นไอน้า
ร้อน
2. แหล่งที่เป็นน้าร้อน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้าเค็ม (hot brine sources) เป็นแหล่ง
พลังงานความร้อนที่พบเห็นได้ทั่วไป มีลักษณะเป็นน้าเค็มร้อนโดยมีจะอุณหภูมิต่ากว่า 180 องศาเซลเซียส
3. แหล่งที่เป็นหินร้อนแห้ง แหล่งที่เป็นหินร้อนแห้ง (hot dry rock) เป็นแหล่งที่สะสม
พลังงานความร้อนในรูปของหินเนื้อแน่นโดยไม่มีน้าร้อนหรือไอน้าเกิดขึ้นเลย แหล่งลักษณะนี้จะมีค่าการ
เปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิตามความลึกเกินกว่า 40 องศาเซลเซียส
4. แหล่งที่เป็นแมกมา (molten magma) แมกมาหรือลาวาเหลว เป็นแหล่งพลังงาน
ความร้อนที่มีค่าสูงสุดในบรรดาแหล่งพลังงานความร้อนที่กล่าวมา โดยมีอุณหภูมิสูงกว่า 650 องศาเซลเซียส
ส่วนใหญ่จะพบในแอ่งใต้ภูเขาไฟ
โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ
การใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพมีมาตั้งแต่สมัยโรมัน โดยใช้ในลักษณะของการนาน้า
ร้อนมาเพื่อการรักษาโรคและใช้ประโยชน์ภายในครัวเรือน ในยุคต่อมาได้มีการนาเอาไอน้าร้อนมาใช้ในการ
ประกอบอาหาร ใช้น้าร้อนสาหรับอาบชาระร่างกาย ใช้ล้างภาชนะ และใช้ในการบาบัดรักษาโรค การใช้
พลังงานความร้อนใต้พิภพเพื่อการผลิตไฟฟ้าเริ่มต้นขึ้นในปี 1913 ที่ประเทศอิตาลี โดยใช้พลังงานความร้อนใต้
พิภพจากแหล่งลาร์เดอเรลโล มีขนาดกาลังการผลิต 250 กิโลวัตต์ นับว่าเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้
พิภพแห่งแรกในโลกที่มีการผลิตไฟฟ้าออกมาในเชิงอุตสาหกรรม โดยในปัจจุบันได้พัฒนาและขยายเป็น
โรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเพิ่มขนาดกาลังการผลิตมากขึ้นเป็น 1,200 เมกะวัตต์
(กลับขึ้นด้านบน)
ผลกระทบจากการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพ
พลังงานความร้อนใต้พิภพ สามารถนามาใช้ประโยชน์ได้หลายประการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อย่างไร
ก็ตามการใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานความร้อนนี้ แม้จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม แต่
ก็ควรทาการศึกษาเพื่อทาความเข้าใจและหาทางป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดตามมาได้ ผลกระทบที่อาจ
เกิดขึ้นจากการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพสามารถสรุปได้ดังนี้
- ก๊าซพิษ โดยทั่วไปพลังงานความร้อนที่ได้จากแหล่งใต้พิภพ มักมีก๊าซประเภทที่ไม่
สามารถรวมตัว ซึ่งก๊าซเหล่านี้จะมีอันตรายต่อระบบการหายใจหากมีการสูดดมเข้าไป ดังนั้นจึงต้องมีวิธีกาจัด
ก๊าซเหล่านี้โดยการเปลี่ยนสภาพของก๊าซให้เป็นกรด โดยการให้ก๊าซนั้นผ่านเข้าไปในน้าซึ่งจะเกิด ปฏิกิริยาเคมี
ได้เป็นกรดซัลฟิวริกขึ้น โดยกรดนี้สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้
- 3. - แร่ธาตุ น้าจากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพในบางแหล่ง มีปริมาณแร่ธาตุต่างๆ
ละลายอยู่ในปริมาณที่สูงซึ่งการนาน้านั้นมาใช้แล้วปล่อยระบายลงไปผสมกับแหล่งน้าธรรมชาติบนผิวดินจะ
ส่งผลกระทบต่อระบบน้าผิวดินที่ใช้ในการเกษตรหรือใช้อุปโภคบริโภคได้ ดังนั้นก่อนการปล่อยน้าออกไป จึง
ควรทาการแยกแร่ธาตุต่างๆ เหล่านั้นออก โดยการทาให้ตกตะกอนหรืออาจใช้วิธีอัดน้านั้นกลับคืนสู่ใต้ผิวดินซึ่ง
ต้องให้แน่ใจว่าน้าที่อัดลงไปนั้นจะไม่ไหลไปปนกับแหล่งน้าใต้ดินธรรมชาติที่มีอยู่ ความร้อนปกติน้าจากแหล่ง
พลังงานความร้อนใต้พิภพ ที่ผ่านการใช้ประโยชน์จากระบบผลิตไฟฟ้าแล้วจะมีอุณหภูมิลดลง แต่อาจยังสูงกว่า
อุณหภูมิของน้าในแหล่งธรรมชาติเพราะยังมีความร้อนตกค้างอยู่
ดังนั้นก่อนการระบายน้านั้นลงสู่แหล่งน้าธรรมชาติควรทาให้น้านั้นมีอุณหภูมิเท่าหรือ
ใกล้เคียงกับอุณหภูมิของน้าในแหล่งธรรมชาติเสียก่อน โดยอาจนาไปใช้ประโยชน์อีกครั้งคือการนาไปผ่าน
ระบบการอบแห้งหรือการทาความอบอุ่นให้กับบ้านเรือน
- การทรุดตัวของแผ่นดิน ซึ่งการนาเอาน้าร้อนจากใต้ดินขึ้นมาใช้ ย่อมทาให้ในแหล่ง
พลังงานความร้อนนั้นเกิดการสูญเสียเนื้อมวลสารส่วนหนึ่งออกไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาการทรุดตัวของ
แผ่นดินขึ้นได้ ดังนั้นหากมีการสูบน้าร้อนขึ้นมาใช้ จะต้องมีการอัดน้าซึ่งอาจเป็นน้าร้อนที่ผ่านการใช้งานแล้ว
หรือน้าเย็นจากแหล่งอื่นลงไปทดแทนในอัตราเร็วที่เท่ากัน เพื่อป้องกันปัญหาการทรุดตัวของแผ่นดิน (กลับขึ้น
ด้านบน)
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
อชิตพล ศศิธรานุวัฒน์. (2548). วิทยาศาสตร์พลังงาน. http://science.uru.ac.th/pro_doc/doc/14.doc. 16 พฤศจิกายน 2552.